จอร์แดน ไบรอัน เฮนเดอร์สัน (อังกฤษ: Jordan Brian Henderson) เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1990 ที่ซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ เป็นนักฟุตบอลของทีมชาติอังกฤษในชุดปัจจุบัน เล่นในตำแหน่งกองกลาง เฮนเดอร์สันเคยเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 2008 โดยทำประตูไป 4 ประตู ปัจจุบันเขาได้ย้ายมาเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 2011 โดยสวมเสื้อหมายเลข 14 และเป็นรองกัปตันทีมลิเวอร์พูลในปี 2014 และในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ลิเวอร์พูล แต่งตั้ง เฮนเดอร์สัน ให้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมที่ย้ายไปอยู่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี
ก่อนที่จะได้มีโอกาสประเดิมสนามให้ทีมแมวดำในเกมพบกับ เชลซี ในเดือนพฤศจิกายน 2008 เฮนเดอร์สันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาซันเดอร์แลนด์ ยู 18 คว้าแชมป์ลีกเยาวชนมาครองได้สำเร็จ
เฮนเดอร์สัน กลับมาเล่นกับต้นสังกัดจริงอย่างซันเดอร์แลนด์ อีกครั้ง รอบนี้เขาถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว โดยเล่นในตำแหน่งปีกขวา และด้วยผลงานที่เล่นได้อย่างสม่ำเสมอ ทีมแมวดำจึงตอบแทนเขาด้วยการมอบสัญญา 5 ปีให้รวมถึงเขายังได้รับเลือกให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของซันเดอร์แลนด์ในปีนั้นด้วย
ฤดูกาล 2010-11 เฮนเดอร์สันยังคงเป็นตัวหลักของซันเดอร์แลนด์อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าอายุจะยังน้อยก็ตามโดย สตีฟ บรู้ซ บอสใหญ่แมวดำปรับเขามาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ซึ่งทำให้ฟอร์มการเล่นของ เฮนเดอร์สัน ยิ่งโดดเด่นเข้าไปใหญ่เพราะตัวเขาเองมีทักษะในการจ่ายบอลและการอ่านเกม ที่ชาญฉลาดอยู่ในตัวอยู่แล้ว
เฮนเดอร์สัน ลงสนามช่วยทีมแมวดำไปครบ 38 นัดไม่มีขาดเรียกว่าเป็นหัวใจของทีมแมวดำอย่างแท้จริงและเขาก็คว้าตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรมาครองได้อีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน
เฮนเดอร์สันอำลาถิ่นสเตเดียมออฟไลต์ โดยทิ้งผลงานการรับใช้ทีมบ้านเกิดเอาไว้ที่ 79 นัดและทำไปทั้งหมด 5 ประตู
เฮนเดอร์สัน ถูกส่งตัวไปขัดเกลาฝีเท้ากับ คอเวนทรีซิตี ในเดือนมกราคมปี 2009 ซึ่งที่นั่นเขาได้รับโอกาสลงสนามไปทั้งหมด 13 นัด ทำได้ 1 ประตูจากทุกถ้วยและน่าจะมีสถิติการลงสนามที่ดีกว่า นั้นด้วย ถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องพักยาวไปเสียก่อน
ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2011 จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ย้ายจากซันเดอร์แลนด์มาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ โดยเฮนเดอร์สันได้สวมเสื้อหมายเลข 14 พร้อมกับความคาดหวังว่าจะเป็น สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด คนต่อไปแห่งถิ่นแอนฟีลด์
ในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2011 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2011–12 เฮนเดอร์สัน ลงสนามเป็นนัดแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับทีมเก่าของเขา ซันเดอร์แลนด์ โดยเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 เฮนเดอร์สัน ลงสนามนัดที่สอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0 ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2011 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โบลตันวอนเดอเรอส์ 3-1
ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เฮนเดอร์สัน ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ เฮนเดอร์สัน ได้พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ เฮนเดอร์สัน นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามครบ 90 นาที สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์เอฟเอคัพ อย่างน่าเสียดาย
ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ลงเล่นที่แอนฟีลด์นัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกเจอกับ เชลซี อีกครั้ง โดย เฮนเดอร์สัน ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 2-0 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล ล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จ 4-1 จบฤดูกาล เฮนเดอร์สัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 2 ประตูจาก 37 นัด
ในเดือนสิงหาคม 2012 เฮนเดอร์สัน มีโอกาสย้ายไปอยู่กับ ฟูลัม แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไป
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เฮนเดอร์สัน ลงสนามเป็นตัวจริงนัดแรกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ สวอนซีซิตี 0-0 ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2012 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในบอลยุโรป ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อูดิเนเซ 1-0 ในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2012–13
ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 5-0 ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้เปิดบอลให้ ลุยส์ ซัวเรซ ทำประตูขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ในครึ่งหลัง เฮนเดอร์สัน จะเป็นคนทำประตูที่สอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-2 ต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 2-1 ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 6-0 จบฤดูกาล เฮนเดอร์สัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 5 ประตูจาก 30 นัด
ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2013 ลีกคัพ รอบ 2 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 ลีกคัพ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 4-3 ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0 ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน โดนใบแดงไล่ออกจากสนามเป็นครั้งแรกในฟุตบอลอาชีพ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-2 ทำให้ เฮนเดอร์สัน โดนแบน 3 นัด ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย เฮนเดอร์สัน ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล เฮนเดอร์สัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 4 ประตูจาก 35 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009
ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแธมป์ตัน เฮนเดอร์สันได้เปิดบอลให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1 ต่อมา ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สันได้เปิดบอลให้ สเตอร์ลิง ทำประตูให้ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 3-0
ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2014 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ได้แต่งตั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ให้เป็นรองกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน ดาเนียล อักเกอร์ อดีตรองกัปตันทีมที่ย้ายทีมออกไป
ในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สันเปิดบอลให้ แอดัม ลัลลานา ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 1-0 ก่อนที่ในครึ่งหลัง เฮนเดอร์สัน จะเป็นคนทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 2-1 ต่อมา ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ลูโดโกเร็ตส์ ราซกราด จาก บัลแกเรีย 2-2 ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามนัดที่ 150 ให้กับ ลิเวอร์พูล และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม 3-1
ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 2-1 ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งและได้ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลและทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 1-0 ต่อมา ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้ยิงจุดโทษตีไข่แตกไล่ อาร์เซนอล แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-4 ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2020 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ได้แต่งตั้ง เฮนเดอร์สัน ให้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมที่ย้ายไปอยู่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี ต่อมา ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สันเปิดบอลให้ คริสตีย็อง แบนเตเก ทำประตูให้แรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บอร์นมัท 1-0 แต่สุดท้าย เฮนเดอร์สัน มีอาการบาดเจ็บที่ส้นเท้าซ้าย ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สันเดินทางไปที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอาการบาดเจ็บที่เท้าของเขา ต่อมา เฮนเดอร์สันเดินทางกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากบินไปรักษาอาการเจ็บที่ส้นเท้าซ้าย และลงซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม อย่างไรก็ตาม 2 วันต่อมา เฮนเดอร์สันโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักที่กระดูกฝ่าเท้าข้างขวาแตก และคาดว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นถึง 2 เดือน ต่อมา ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สันกลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน โรเบร์ตู ฟิร์เมียนู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 1-0 ต่อมา ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 2-2
ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2016 เฮนเดอร์สัน ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 5-4
ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เฮนเดอร์สัน ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นนัดแรก ในนัดที่เจอกับ ฝรั่งเศส โดยลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งกองกลางคู่กับ สตีเวน เจอร์ราร์ด
ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ติดรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนแทน แฟรงก์ แลมพาร์ด ที่มีอาการบาดเจ็บ เฮนเดอร์สัน ลงเล่นนัดแรกให้ทีมชาติ โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทน สก็อต พาร์กเกอร์ ในนัดที่เสมอกับ ฝรั่งเศส 1-1 และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม D อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอ ฝรั่งเศส 1-1, ชนะ สวีเดน 3-2 และ ชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เฮนเดอร์สัน ลงมาเป็นตัวสำรองแทน สก็อต พาร์กเกอร์ อีกครั้งในช่วงต่อเวลาพิเศษในนัดที่เจอกับ อิตาลี แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร
ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่ม D ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และ อิตาลี ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลก กลุ่ม D ทั้ง 2 นัดในนัดที่แพ้ให้กับ อิตาลี และ อุรุกวัย 1-2 สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่ม D เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก
2 ไคลน์ ? 3 เอนรีเก ? 4 ตูเร ? 6 ลอฟเรน ? 7 มิลเนอร์ ? 9 แบนเตเก ? 10 โกชิญญู ? 11 ฟีร์มีนู ? 12 โกเมซ ? 14 เฮนเดอร์สัน (c) ? 15 สเตอร์ริดจ์ ? 17 ซาโก ? 18 โมเรโน ? 20 ลัลลานา ? 21 เลย์วา ? 22 มีญอแล ? 23 จัน ? 24 แอลเลน ? 26 อีโลรี ? 27 โอรีกี ? 28 อิงส์ ? 32 แบรนนากัน ? 33 ไอบ์ ? 34 โบกดาน ? 35 สจวร์ต ? 37 ชเกอร์เตล ? 38 แฟลนากัน ? 40 เคนต์ ? 41 ดันน์ ? 44 สมิธ ? 46 รอสซิเตอร์ ? 48 ซิงแคลร์ ? 53 ไตไชรา ? 54 โอโจ ? 56 แรนดัลล์ ? 57 มาไกวร์ ? 68 ชีรีเบยา ? ผู้จัดการ : คลอพพ์